ถ้าพูดถึงเรื่องของกินอร่อย บ้านเมืองครึกครื้น ต้องยกให้โอซาก้าเค้าเลย เพราะนอกจากจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคคันไซแล้ว ตัวเมืองโอซาก้ายังเต็มไปด้วยที่เที่ยวเด็ดๆหลากหลายสไตล์ กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองจนเลือกมาใส่แพลนกันไม่ถูกเลย แต่ด้วยความเยอะนี่แหละ ทำให้ใครๆหลายคนตัดสินใจมาเยือนโอซาก้า เพราะรู้ว่ายังไงก็มีที่ไปแน่นอน จะมือใหม่มาครั้งแรก หรือขาประจำกลับมาซ้ำก็มักจะไม่ผิดหวัง เป็นเมืองที่มากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ แถมยังพาเพื่อน พาแฟน พาครอบครัวมาเที่ยวได้ไม่ยาก ตั้งแต่เริ่มมาเที่ยวญี่ปุ่น เราก็มีโอกาสได้แวะเวียนมาที่นี่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งมาปักหลักเป็นที่พักสำหรับเดินทางไปเมืองข้างเคียง แวะเป็นทางผ่านก่อนจะเดินทางต่อไปโตเกียว หรือแม้แต่มาเพื่อเที่ยวในโอซาก้าอย่างจริงจัง โอซาก้าตอบโจทย์การเที่ยวทุกรูปแบบได้ดีมาก และเป็นที่ที่ไม่ว่าจะมาซ้ำกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ เพราะสีสันและผู้คนที่นี่เปลี่ยนไปตลอดเวลา (ความจริงคือมาเก็บร้านอร่อยๆกี่ครั้งก็ไม่เคยครบซักที 55555) มาคราวนี้มีอีกอย่างที่เปลี่ยนไป นั่นก็คือ “Osaka Amazing Pass” ที่สมัยก่อนยังทำอะไรได้ไม่มาก แต่ปีนี้ (2019) เค้ามาในรูปแบบ 4.0 พร้อม Application เป็นของตัวเอง นักท่องเที่ยว 4.0 อย่างเราก็ขอโหลดมาลองซะหน่อย จริงๆแล้วจุดที่ล่อตาล่อใจเราที่สุดคือจำนวนที่เที่ยวที่เข้าฟรีเมื่อโชว์บัตร มันเพิ่มจาก 30 ที่มาเป็น 50 ที่เลย พอเอามาคำนวณเทียบกับแพลนที่เราวางไว้เลยช่วยประหยัดไปได้เป็นพันเยน! ก็จัดสิจะรออะไรล่ะ บัตรที่เราใช้เป็น Osaka Amazing Pass แบบ 1 วัน ราคา 2,700 เยน ซึ่งรวมการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน Osaka Metro ที่เราจะใช้เป็นวิธีหลักในทริปนี้ (เดี๋ยวจะสรุปแผนที่รถไฟ + สถานีให้ในรูปถัดๆไปนะ) จริงๆใช้นั่งรถบัสหรือรถไฟเอกชนในเมืองก็ได้ แต่เราไม่ได้ใช้เพราะแค่รถไฟใต้ดินก็ครอบคลุมสถานที่เที่ยวหลักๆที่เราจะไปหมดแล้ว ตรงนี้จะมีข้อควรระวังนิดนึงสำหรับคนที่ซื้อแบบ 2 วัน คือเมื่อเปิดใช้แล้วจำเป็นต้องใช้ติดกัน (เว้นวันไม่ได้) และจะไม่สามารถขึ้นรถไฟเอกชนได้เหมือนบัตร 1 วัน (ใช้ได้แค่ Osaka Metro และ City Bus) สถานีและพื้นที่ที่สามารถใช้บัตร Osaka Amazing Pass ได้ ตัดสินใจได้แล้วก็ถึงเวลาซื้อพาส ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายๆตามช่องจำหน่ายตั๋วภายในสถานีรถไฟใต้ดินทั่วไป หรือ ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว (Tourist Information Center) ในสนามบินและในเมืองก็มีขายอยู่ ใครไม่อยากวุ่นวายก็สามารถซื้อไปจากที่นี่ผ่านตัวแทนจำหน่ายได้ เช่น KLOOK, KKday, HIS, JTB และอื่นๆ อ่านกระทู้สรุปบัตร Osaka Amazing Pass แบบเข้าใจง่าย >>> http://bit.ly/2ZttZHi ใครที่สนใจอยากได้แผนเที่ยวแบบละเอียดที่เป็นไฟล์ PDF ก็หลังไมค์เข้ามาขอกันได้เลยจ้า >>> http://bit.ly/2NuT528 อ่านกระทู้ท่องเที่ยวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่นี่… แผนเที่ยว โหลดฟรี แจกแผนเที่ยว Tokyo ด้วย Subway 1-day Pass แจกแผนเที่ยว ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Tohoku | 9 วัน 8 คืน แจกแผนเที่ยว รอบเกาะฮอกไกโด | 8 วัน 7 คืน แจกแผนเที่ยว ชมซากุระในญี่ปุ่นแบบจัดเต็ม | 10 วัน 9 คืน รวมที่เที่ยวห้ามพลาดทั่วญี่ปุ่น 7 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีใน Nikko ไปกลับได้ง่ายๆจากโตเกียว 8 จุดชมซากุระในโตเกียว รอบ JR Yamanote Line 13 ที่เที่ยวน่าไปใน SAPPORO x OTARU Osaka Hotel Guide – ไปโอซาก้า พักย่านไหนดี? SPOT 01 : ศาลเจ้า Namba Yasaka น้อยคนที่จะรู้ว่า ไม่ไกลจากย่านชื่อดังอย่าง Dotonbori ที่มีป้ายกูลิโกะเป็นแลนด์มาร์ค จะมีศาลเจ้า Namba Yasaka ซ่อนตัวอยู่ ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่ถูกประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมพื้นบ้านแห่งแรกของโอซาก้าเลยนะ ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตัวศาลเจ้าที่มีรูปร่างเป็นหัวสิงห์ (Ema-Den) ขนาดใหญ่ (สูงตั้ง 12 เมตร) มีความเชื่อกันว่าปากของสิงโตที่กำลังอ้ากว้างอยู่นั้นจะช่วยดูดกลืนสิ่งชั่วร้ายต่างๆ และนำโชคดีมาให้ เราจึงมักจะเห็นเหล่านักเรียนและนักธุรกิจแวะมาขอพรให้ประสบความสำเร็จที่นี่ ตัวศาลเจ้ามีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากตัวเมือง ด้านในระหว่างปากของสิงโตถูกจัดไว้เป็นที่สำหรับนั่งสมาธิ บริเวณโดยรอบประกอบไปด้วยศาลเจ้าเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าต่างๆ ใครที่กำลังอยากหนีจากความวุ่นวายมาสงบจิตใจแนะนำที่นี่เลย การเดินทาง : เดิน 5 นาทีจากสถานี Namba (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/B8rhXnN8NJuu8AX97) เวลาทำการ : 6:00 – 17:00 (ทุกวัน) ค่าเข้า : ฟรี หลังจากถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน เอ้ย ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยขอให้ทริปนี้ลุล่วงไปด้วยดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรานั่งรถไฟก็ไปต่อกันที่ถัดไป SPOT 02 : วัด Shitenno-ji แล้วเราก็มาถึงไฮไลท์ของวันนี้ วัด Shitenno-ji ที่เค้าว่าเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นอายุกว่าพันปี! ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าชาย Shotoku Taishi ผู้ริเริ่มนำพุทธศาสนาเข้ามาในญี่ปุ่น ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันคือตัววัดได้ถูกการบูรณะขึ้นใหม่หลายรอบหลังถูกทำลายลงในสงครามและเหตุการณ์ไฟไหม้หลายครั้ง นับเป็นโชคดีของคนรุ่นหลังที่ยังมีโอกาสสัมผัสสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณสวยๆแบบนี้ เข้ามาด้านในบริเวณวัดมีจุดที่น่าสนใจอยู่เยอะจนเลือกไม่ถูก 1. Chushin Garan – โถงหลักที่มีทางเดินทอดยาว กับเจดีย์ 5 ชั้น เปิดให้ขึ้นไปชมได้ด้วยนะ แต่ห้ามถ่ายรูป T^T 2. Treasure Hall – ห้องเก็บสมบัติที่จัดแสดงพระพุทธรูป ภาพวาด และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ 3. Gokuraku-jodo – สวนสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ถ้ามาช่วงที่มีซากุระคงสวยมากๆๆๆๆ ไฮไลท์อีกอย่างที่ทำให้วัดแห่งนี้แตกต่างจากวัดอื่นๆในญี่ปุ่นคือ ตลาดนัดหน้าวัดที่มีร้านค้าเรียงรายกว่า 300 ร้าน โดยจะจัดขึ้นทุกวันที่ 21 และ 22 ของทุกเดือนตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าไปจนถึง 4 โมงเย็น ให้ได้จับจ่ายของกิน ของใช้ เสื้อผ้า และสินค้ามือสอง การเดินทาง : เดิน 15 นาทีจากสถานี Tennoji หรือเดิน 5 นาทีจากสถานี Shitennoji-mae Yuhigaoka แต่เปลี่ยนสายรถไฟเยอะหน่อย (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/wzBo8GvMCmQ2) เวลาทำการ : 8:30 – 16:00 (ทุกวัน) ค่าเข้า : Chushin Garan (โถงหลักและเจดีย์ 5 ชั้น) ผู้ใหญ่ 300 เยน, เด็ก 200 เยน Treasure Hall (ห้องเก็บสมบัติ) ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็ก 300 เยน Gokuraku-jodo (สวนญี่ปุ่น) ผู้ใหญ่ 300 เยน, เด็ก 200 เยน ก่อนที่ทริปนี้จะดูเหมือนทริปแสวงบุญมากเกินไป เราขอเปลี่ยนฟีลมาเดินเที่ยวในเมือง หาของกินอร่อยๆในย่าน Shinsekai อันเป็นอีกแลนด์มาร์คที่ห้ามพลาดของโอซาก้ากันก่อนดีกว่า 5555 target=”_blank” target=”_blank” SPOT 03 : Shinsekai (Tsutenkaku) ความเป็นมาของย่าน Shinsekai เริ่มจากเป็นย่านการค้าที่เกิดจากแผนพัฒนาที่ดินขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยลอกผังมาจากต่างประเทศแต่ปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกย่านนี้ถูกทิ้งระเบิดได้รับความเสียหาย แต่ก็ซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิมและยังคงสภาพเดิมไว้จนมาถึงปัจจุบัน เป็นสาเหตุที่เวลามองไปตลอดสองข้างทาง จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแบบญี่ปุ่นช่วงยุค 50-60s ชวนคิดถึงหนังเรื่อง Always: Sunset on Third Street ขึ้นมาเลย (เดี๋ยวๆ ได้ข่าวว่าเรื่องนั้นมันมีฉากเป็นโตเกียวทาวเวอร์) มองไปที่ใจกลางย่านจะเห็นหอคอย Tsutenkaku ตั้งเด่นเป็นสง่า (แม้ในรูปจะโดนเจ้าปลาปักเป้าหน้าตาน่ารักบังไปกว่าครึ่งก็ตาม TwT) แม้ในตอนกลางวันจะดูไม่ครึกครื้นและเต็มไปด้วยแสงสีเหมือนตอนกลางคืน แต่เรื่องกินก็จัดว่ายังไม่แพ้ Namba เพราะที่ย่านนี้มีของขึ้นชื่ออย่าง Kushikatsu (ร้านของทอดเสียบไม้) กระจายตัวอยู่ทุกหนแห่ง แถมยังมีร้านโอโคโนมิยากิเจ้าดังอย่าง Okonomiyaki Chitose อยู่ด้วย แต่วันนี้เราจะลองพาไปกินร้านทาโกยากิ อาหารขึ้นชื่อของโอซาก้ารองท้อง ก่อนจะไปจัดเต็มอีกทีตอนมื้อเย็นที่ Namba target=”_blank” SPOT 04 : Shinsekai Kankan พิกัด : https://goo.gl/maps/vwsoqv3pmcF69s4u7 ท้องอิ่มแล้วก็ไปหาอะไรน่ารักๆดูเพลินๆกันดีกว่า… SPOT 05 : Osaka Aquarium Kaiyukan ที่นี่ก็เป็นแลนด์มาร์คของโอซาก้าที่ไม่ว่าใครก็ต้องแวะมา นอกจากจะเหมาะกับทุกเพศทุกวัยแล้ว ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในอควาเรียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความที่มีประชากรสัตว์น้ำมากถึง 620 สายพันธุ์ รวม 30,000 ตัว (เห้ย จะเยอะไปไหน ขนมาหมดทะเลเลยมั้ยเนี่ย 55) เข้ามาด้านในจะเจอแทงค์ขนาดใหญ่ 15 อัน ซึ่งค้าตั้งใจจัดเป็นธีมเลียนแบบโซนต่างๆตามแนวภูเขาไฟรอบมหาสมุทรแปซิฟิก ไฮไลท์หลักๆคือ Aqua Gate หรืออุโมงค์ใต้น้ำ, Japan Forest ที่จำลองระบบนิเวศน์ของป่าแบบญี่ปุ่น, Monterey Bay ที่อยู่ของสิงโตทะเลและเจ้าแมวน้ำ, Antartica ที่จะได้ชมเพนกวินเดินดุ๊กดิ๊กไปมา, และ Pacific Ocean แทงค์ขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นที่อยู่ของฉลามวาฬตัวใหญ่ พระเอกของงานนี้ที่ทุกคนรอคอย ถึงจะมีหลายโซนแต่ก็เดินไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เพราะเริ่มแรกสุดเราจะไปเริ่มจากทางเข้าชั้น 8 แล้วเดินลงมาตามบันไดวนลงมาเรื่อยๆรอบแทงค์ยักษ์ที่มีฉลามวาฬแหวกว่ายอยู่ ถ้าใครมีโอกาสไปในช่วง 10:30 หรือ 15:00 จะได้ชมโชว์ให้อาหารเจ้าฉลามวาฬตัวนี้ด้วยนะ :3 การเดินทาง : เดิน 5 นาทีจากสถานี Osaka-ko (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/6geJDoS3yqy) เวลาทำการ : 10:00 – 20:00 (ทุกวัน) ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 2,300 เยน, เด็ก 1,200 เยน (ใช้ Osaka Amazing Pass ลดได้ 100 เยน) ดูสัตว์โลกน่ารักจนเต็มอิ่มแล้ว ถ้ายังไม่เหนื่อย เราไปที่ต่อไปกันนนนน SPOT 06 : Osaka Castle การได้แวะไปเก็บปราสาทเวลาไปเที่ยวแต่ละเมืองจะเป็นความสุขเล็กๆของสายถ่ายภาพและคนที่ชอบประวัติศาสตร์/วัฒนธรรม ยิ่งเป็นเมืองใหญ่อย่างโอซาก้าแล้วยิ่งพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาชมปราสาทโอซาก้า ถึงจะต้องเดินเยอะหน่อยแต่ก็คุ้มเหนื่อย ด้านในจะมีจัดแสดงประวัติความเป็นมาของปราสาท เริ่มตั้งแต่ถูกก่อสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1583 ตามคำสั่งของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ เพื่อใช้เป็นศูนย์บัญชาการและเป็นสัญลักษณ์ของการรวมญี่ปุ่นภายใต้การนำของตระกูลโทโยโตมิ มีความโดดเด่นสวยงามและเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลังจากนั้นปราสาทก็ถูกเผาทำลายลงด้วยไฟสงคราม แต่ได้มีการบูรณะ สร้างขึ้นมาใหม่ในสมัยของโทคุงาวะ ฮิเดทาดะในปี ค.ศ. 1620 แต่ก็ถูกฟ้าผ่าจนพังทลายลงอีกในค.ศ. 1665 หลังจากนั้นมีความพยายามบูรณะฟื้นฟูปราสาทอยู่หลายครั้งตลอดยุคสมัยต่อๆมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1995 ที่เทศบาลนครโอซาก้าได้ทำการซ่อมแซมและปรับปรุงปราสาทจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ออกมาด้านข้างปราสาทจะเจอสวนปราสาทโอซาก้า ที่เค้าว่าเป็นหนึ่งในจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดของภูมิภาคคันไซ! (แต่ตอนเราไปไม่เจอดอกไม้บานใดๆอะไรทั้งสิ้น T^T) ในสวนจะมีต้นบ๊วยกับต้นท้อ พอลองจินตนาการถึงช่วงที่มันบานในฤดูใบไม้ผลิแล้วก็คงจะสวยมากจริงๆนั่นแหละ ส่วนคนที่ไปตอนต้นไม้ยังเขียวขจีก็ทำได้แต่ถ่ายรูปปราสาทจากมุมนู้นมุมนี้ไปก่อน การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Tanimachi 4-chrome หรือรถไฟ JR ลงสถานี Osakajo-koen (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/MiFs1sAqpup) เวลาทำการ : 9:00 – 17:00 (ทุกวัน) ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก ฟรี (ใช้ Osaka Amazing Pass เข้าฟรี) ชมธรรมชาติกันเสร็จ ก็เปลี่ยนมาดูความเจริญในเมืองใหญ่กันบ้างดีกว่า SPOT 07 : Umeda Sky Building เอาใจสายถ่าย Cityscape กันที่จุดชมวิว 360 องศาใจกลางเมืองโอซาก้า ซึ่งตั้งอยู่บนตึกสูง 173 เมตรรูปร่างเป็นประหลาดตาที่มีชื่อว่า Umeda Sky Building โดยจะมี 2 ตึกเป็นตึกตะวันตกและตะวันออก เชื่อมกันด้วยจุดชมวิวบนดาดฟ้ารูปร่างคล้ายโดนัทที่เรียกกันว่า สวนลอยฟ้า (Floating Garden Observatory) ที่นี่เหมาะสำหรับการเดินชิลๆชมวิวเมืองโอซาก้ายามค่ำคืน ดื่มค็อกเทล (ใครไม่ดื่มก็แวะจิบกาแฟแทนได้) รับประทานอาหารไปพลางชมวิวไปพลางที่ร้านด้านบนก็น่าสนใจไม่น้อย แต่เราพบว่าที่ชั้นใต้ดินของตึกยังมีถนนอาหาร Takimi Koji ที่จำลองบรรยากาศยุคโชวะ และรวมร้านอาหารเด็ดๆเอาไว้กว่า 20 ร้านให้ได้เลือกชิม แค่แวะลงไปถ่ายรูปเฉยๆไม่ต้องกินก็ฟินแล้ว การเดินทาง : เดิน 10-15 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Umeda หรือสถานี JR Osaka (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/BEEU9gxnat82) เวลาทำการ : 9:30 – 22:30 (ทุกวัน) ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 1,500 เยน, เด็ก 700 เยน (ใช้ Osaka Amazing Pass เข้าฟรี) เหนื่อยมั้ย เหนื่อยเถอะ 5555 ได้เวลาเดินทางกลับไปเดินเล่นดูแสงสี หาอาหารเย็นอร่อยๆกินกันซะที SPOT 08 : Dotonbori บ่นเหนื่อยบ่นหิว แต่พอมาเจอแสงสี มันก็ยั้งมือไม่ให้เผลอหยุดกดชัตเตอร์ไม่ได้ ไหนๆร้านก็เปิดดึกอยู่แล้ว เราเลยขอแวะถ่ายรูปกับป้าย Glico Man ชื่อดัง เก็บบรรยากาศและแสงสีของเมืองโอซาก้ากันก่อนซักนิดนึง ย่าน Dotonbori เป็นย่านช้อปปิ้งใหญ่ใจกลางเมืองโอซาก้า ที่เชื่อมกับถนนช้อปปิ้ง Shinsaibashi (ถนนยาวๆ ยาวมากกกก ที่มีหลังคาและร้านขายของตลอดสองข้างทาง) นอกจากป้ายไฟ Glico Man ที่สะพาน Ebisu ก็ยังมีจุดถ่ายรูปน่าสนใจอีกหลายที่อย่างหุ่นตัวตลก Kuidaore Taro, วงแหวนไฟใต้สะพาน Ebisu หรือถ้าอยากได้ฟีลญี่ปุ่นๆหน่อยแนะนำให้เดินไปตรอก Hozenji Yokocho การเดินทาง : สถานี Namba (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/opsPgmVZNPK2) เวลาทำการ : 24 ชั่วโมง (ทุกวัน) ค่าเข้า : ฟรี นอกจากเรื่องช้อปกับชิลแล้ว ย่านนี้ยังรวบรวมร้านอาหารต้นตำรับโอซาก้าชื่อดังหลายร้านเอาไว้มากมายให้ได้แวะกินกันเพลินๆ แต่เนื่องจากเราใช้พลังงานกันมาทั้งวัน เพราะฉะนั้นขอนั่งทานในร้านเป็นมื้อเย็นปิดท้ายทริปวันนี้ไปเลยดีกว่า SPOT 09 : Fukutaro พิกัด : https://goo.gl/maps/5VR8vVkDbFYYoaNbA ใครที่สนใจอยากได้แผนเที่ยวแบบละเอียดที่เป็นไฟล์ PDF ก็หลังไมค์เข้ามาขอกันได้เลยจ้า >>> http://bit.ly/2NuT528 อ่านกระทู้ท่องเที่ยวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่นี่… แผนเที่ยว โหลดฟรี แจกแผนเที่ยว Tokyo ด้วย Subway 1-day Pass แจกแผนเที่ยว ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Tohoku | 9 วัน 8 คืน แจกแผนเที่ยว รอบเกาะฮอกไกโด | 8 วัน 7 คืน แจกแผนเที่ยว ชมซากุระในญี่ปุ่นแบบจัดเต็ม | 10 วัน 9 คืน รวมที่เที่ยวห้ามพลาดทั่วญี่ปุ่น 7 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีใน Nikko ไปกลับได้ง่ายๆจากโตเกียว 8 จุดชมซากุระในโตเกียว รอบ JR Yamanote Line 13 ที่เที่ยวน่าไปใน SAPPORO x OTARU Osaka Hotel Guide – ไปโอซาก้า พักย่านไหนดี?