ยินดีต้อนรับเข้าสู่การเดินทาง 10 วันในแคว้น Ladakh ของผมครับ จริงๆที่แห่งนี้อยู่ใน Bucket list ของผมมาตั้งแต่สมัยยังเรียนม.ปลาย (ประมาณปี 2550) ที่ได้เห็นบรรดาช่างภาพ Pixpros รุ่นบุกเบิกบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกเหนือเมือง Leh มาให้บรรดาสมาชิกในเวปบอร์ดได้ชมกัน Ladakh จึงเป็นเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาช่างภาพสาย Landscape ที่จะต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิตครับ ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักแคว้น Ladakh กันซักนิดนึงก่อน Ladakh แปลว่า “land of high passes” เป็นแคว้นๆหนึ่งในรัฐ Kashmir and Jammu ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งมีอาณาเขตด้านขวาติดกับธิเบต/จีน ทางซ้ายติดกับปากีสถานครับ โดย Ladakh นั้นเป็นแคว้นที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลที่สุดในรัฐ Kashmir and Jammu ซึ่งในบริเวณนี้จะถูกเรียกว่า “Trans-Himalaya” หรือก็คือบริเวณเทือกเขาที่อยู่ขนานกับเทือกเขา Great Himalaya ครับ โดย Ladakh นั้นเป็นบริเวณที่ที่เทือกเขา Kunlun, Karakorum และ Himalayan วิ่งเข้ามาบรรจบกัน ทำให้บริเวณนั้นเต็มไปด้วยเทือกเขาสูงครับ เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้น Ladakh ก็คือ Leh นั่งเอง และเป็นที่ตั้งของสนามบิน Leh ประตูสู่ Land of high passes :::::::::::::: คำเตือน :::::::::::::: Ladakh นั้นนับว่าเป็นเขตทุรกันดารก็ได้ครับ เนื่องจากในหน้าหนาวบริเวณนี้จะถูกหิมะหนาปกคลุม ทำให้บรรดาถนนหนทางจะพังทลาย และถูกเร่งซ่อมแซมในฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงเมษายน) บวกกับเส้นทางบริเวณจะลัดเลาะผ่านเทือกเขาสูง ทำให้การพัฒนาของเมืองบริเวณนี้ทำได้ยากมากครับ คนที่คิดจะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ในระดับนึงครับ โดยผมได้สรุปข้อควรระวังในการเที่ยวบริเวณนี้ไว้คร่าวๆดังนี้ครับ Ladakh Travel Tip 1. ห้องน้ำ เป็นเรื่องหลักที่ต้องเตรียมใจสำหรับที่นี่ (และที่อื่นๆในอินเดีย) คือส้วมสาธารณะครับ นอกจากในโรงแรมและร้านอาหารดีๆในเมืองแล้ว ส้วมที่เหลือเรียกว่า “หลุม””- เราเก็บภาพตัวเมือง Leh จากบริเวณด้านหน้า Palace แล้วจึงกลับเข้าเมืองไปหาข้าวเช้าทานก่อนจะเริ่มเดินทางไปเที่ยวรอบนอกตัวเมืองตอนประมาณ 9 โมงเช้าครับ Route ในวันนี้จะประกอบไปด้วยที่เที่ยวหลักๆสามแห่งคือ Likir Monastery, Alchi Monastery และ Lamayuru Monastery เรียงตามระยะห่างจากเมือง Leh ครับ แต่เราเลือกจะเดินทางไป Lamayuru Monastery ซึ่งอยู่ไกลสุดก่อน แล้วค่อยเที่ยวย้อนลงมา เผื่อว่าถ้าเที่ยวไม่ทันในหนึ่งวัน จะตัดที่ใกล้ๆเพื่อกลับมาเก็บในวันอื่นได้ครับ โดยระหว่างทางจะผ่าน Magnatic Hill และจุดที่เรียกว่า Confluence of Indus and Zanskar ที่จะเห็นแม่น้ำทั้งสองมาบรรจบกันด้วยครับ Confluence of Indus and Zanskar จริงๆแม่น้ำจะเป็นสีฟ้าเทาสวยงามครับ แต่ผมมาช่วงที่มีน้ำหลากสีเลยเป็นดั่งที่เห็นในรูป ● Lamayuru Monastery ● บริเวณนี้ได้รับฉายาว่า “Moon Land” เพราะสภาพภูมิประเทศที่เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนผิวของดวงจันทร์นั่นเองครับ หลังจากที่ผ่าน Moon Land ไปแล้วนั้นเราก็จะได้พบกับหนึ่งใน Monastery ที่เก่าแก่ที่สุดของ Ladakh ครับ ทั้งบริเวณ Moon Land และตัว Monastery นั้นจะมีจุดที่ต้องปีนป่าย และบันไดเยอะพอสมควรครับ ถ้ามาในวันแรกๆให้พยายามทำอะไรช้าๆ ไม่งั้นอาจจะเป็นลมเอาง่ายๆได้ครับ พื้นที่แถบนี้แทบจะไม่มีร่มเงาให้หลบด้วย ดังนั้นเตรียมหมวกและครีมกันแดดมาให้พร้อมครับ และเลี่ยงการมาเดินช่วงเที่ยงๆครับ ● Alchi Monastery ● Alchi Monastery เป็นโบราณสถานเก่าแก่ครับ ไม่ได้ใหญ่โตมากมีความเก่าแก่และเป็นที่เคารพนับถือของคนแถบนี้ครับ ก่อนถึงโบราณสถานจะต้องผ่านตลาดนัดเรียงต่อกันยาวเฟื้อย มีขายของฝากทุกชนิด ตั้งแต่ธงมนต์ (Praying Flag), ธรรมจักร (Praying Wheel) จนกระทั่งนัยน์ตาปิศาจจากตุรกี (Blue Evil Eye) ซึ่งมาได้ไงไม่รู้ Main Hall ของ Alchi Monastery มีขนาดเท่ากับห้องโถงเล็กห้องนึงเท่านั้นครับ เป็นอาคารเก่าแก่ ภายในจะมีเทวรูปอยู่ครับ มีป้ายตั้งไว้ว่าห้ามถ่ายภาพครับ เลยไม่ได้เก็บภาพกลับมาครับ นอกจากตัว Monastery แล้ว ที่นี่ยังสามารถเดินทะลุไปดูวิวแม่น้ำด้านหลังได้ครับ ● Likir Monastery ● Likir Monastery เป็น Monastery ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เป็นที่ประทับของพระพุทธรูปพระศรีอารย์(พระศรีอาริยเมตไตรย)องค์ใหญ่ สูง 23 เมตร โดยที่นั่นจะเรียกพระศรีอารย์ว่า Maitreya ครับ Monastery แห่งนี้เป็นที่ๆผมชอบที่สุดในวันนี้ครับ แม้ตัว Monastery จะไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่เทียบกับที่อื่นๆใน Ladakh แต่วิวจากบนดาดฟ้าของ Monastery ดีงามมากจริงๆ นอกจาก Monastery ทั้งสามแล้ว Highlight อีกอย่างของการท่องเที่ยวใน Ladakh คือวิวข้างทางครับ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตลอดเส้นทาง Texture ของภูเขาจะเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของแสงและเงาทำให้เกิดวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาไปตลอดทางครับ :::::::::::: Day 3-4 : Pangong Lake ::::::::::::: วันนี้เราจะเริ่ม Route ที่ออกนอกบริเวณ Leh District ครับ นั่นคือ Route Pangong Lake นั่นเอง โดย Route นี้จะผ่าน Monastery ใหญ่ๆสามที่คือ Shey, Thiksey และ Hermis Monatery แต่เราเก็บสามที่นี้ไว้วันหลังๆครับ ไม่งั้นจะถึง Pangong Lake เย็นมาก โดยเราจะค้างที่ Pangong Lake คืนนึง แล้วจึงค่อยกลับ Leh วันถัดไปครับ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรีบมาก พักถ่ายรูปรายทางได้ เนื่องจาก Route นี้นั่งรถนานและทางแย่มากครับ รวมทั้งผมอยากสัมผัสการนอนริมทะเลสาบและบรรยากาศยามเช้าของ Pangong Lake ด้วยครับ ถนนในช่วงแรกจะเป็นถนนลาดยางอย่างดีครับ จนถึงจุดตรวจ Permit (ซึ่งเราให้ทางที่พักทำให้เมื่อวันที่มาถึง) จะเป็นทางแยก เส้นนึงจะไป Pangong Lake อีกเส้นจะไป Tso Moriri ครับ แต่เส้นหลังจากนี้จะเริ่มขรุขระเป็นถนนดินลูกรังและไต่สูงขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งใกล้ Chang-La Pass ทางจะเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นหินแตกๆ เริ่มมีน้ำไหล มีหลุมใหญ่ๆ และเป็นเส้นที่สูงชันเลียบหน้าผาด้วย ● Chang-La Pass ● Chang-La Pass คือจุดพักที่สูงประมาณ 5,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูเขาแถบนี้ยังมีหิมะปกหลุมอยู่ ณ จุดนี้อากาศเบาบางมาก แค่ขึ้นขึ้นบันไดสิบขั้นไปร้านน้ำชาก็เริ่มหอบแล้ว ใครที่ปรับตัวไม่ค่อยเก่งอาจจะเริ่มปวดหูตาลายได้ พยายามอย่าอยู่นานและเคลื่อนไหวเร็วครับ จุดนี้จริงๆไม่ต้องแวะก็ได้ เพราะวิวไม่ได้สวยมาก หิมะตอนผมไปก็เป็นหิมะที่โทรมๆไม่ใช่หิมะตกใหม่ รวมถึงร้านขายของที่ไม่ค่อยมีของ ร้านอาหารก็มีไม่กี่ร้านทำให้แออัดหน่อย เพราะแก๊งแว๊น Big Bike เค้าจะมาจอดพักกันที่นี่ ส่วนสภาพห้องน้ำนี่ก็ปล่อยกลางแจ้งดีกว่าครับ ลงจาก Chang-La Pass จะเริ่มเจอพื้นที่สีเขียว มีฝูงตัว Yak เดินกินหญ้าอยู่เป็นระยะ บางช่วงก็จะเจอฝูง Pashmina คล้ายๆแพะ ขนมันเอามาทอเป็นผ้าแคชเมียร์ที่นุ่มและอุ่นมาก จุดนี้บรรยากาศดีมากๆครับ พอเข้าใกล้ทะเลสาบทางจะเริ่มเป็นทะเลทราย จะผ่านค่ายทหารใหญ่ๆค่ายนึงสามารถแวะกินข้าวได้ แต่ก็จะมีแค่ข้าวผัดกับบะหมี่ที่เป็นมังฯล้วน Route นี้จะหาของกินยากหน่อย แนะนำให้เตรียมมาทานครับ ไม่งั้นก็ต้องไปต่อคิวซื้อบะหมี่ที่ Chang-La Pass จุดสุดท้ายก่อนถึงทะเลสาบจะเป็นแนวทรายยาว เดาว่าน่าจะมาจากน้ำในทะเลสาบนี่แหละครับ ● Pangong Lake ● ในส่วนของตัวทะเลสาบนั้นสามารถขับรถดูวิวไปได้จนสุดเมือง Spangmik ครับ โดยจุดจอดรถจุดแรกจะมีอะไรให้ทำเยอะที่สุดครับ เช่น เช่าชุดแต่งตัวเป็นชาวพื้นเมือง ขี่ตัว Yak ถ่ายรูป และก็จะมีแหลมเล็กๆยื่นออกไปกลางทะเลสาบที่คนชอบมาถ่ายรูปกันครับ จุดอื่นๆจะมีแต่วิวเป็นหลักครับ ส่วนบริเวณหน้าที่พักเราช่วงก่อนถึงเมือง Spangmik ลักษณะภูมิประเทศจะไม่เหมือนกับจุดแรกครับ จะเป็นลานหินซะส่วนใหญ่ ไม่มีชายหาด ก็สวยไปอีกแบบครับ ที่สำคัญคือเงียบสงบมากกก เหมือนเป็นทะเลสาบส่วนตัวของเราคนเดียวครับ ● Shanti Stupa ● ในวันรุ่งขึ้นเราก็นั่งรถกลับยาวๆครับ โชคร้ายไปเจอรถเสียขวางทาง รถติดยาวกลายกิโลเมตร เรานั่งรอซ่อมรถอยู่ขั่วโมงกว่าๆ เลยกลับมาถึง Leh เย็นกว่าที่แพลนไว้แล้ว แต่ยังทันแวะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Shanti Stupa ซึ่งเป็นเจดีย์สีขาวอยู่บนภูเขาครับ ที่นี่ไม่ไกล และไม่กว้างมาก เหมาะจะแวะเก็บช่วงเย็นหลังจากไปนอกเมืองครับ :::::::::::: Day 5-6 : Nubra Valley ::::::::::::: Route ไปยัง Nubra Valley นั้นจะผ่านสภาพภูมิประเทศหลากหลายมากตั้งแต่ภูเขาสูง ทุ่งราบ แม่น้ำ และทะเลทราย เส้นทางนี้แตกต่างจาก Route Pangong Lake ที่เป็นทางลูกรังขึ้นเขาขรุขระ Route Nubra Valley จะเป็นทางลาดยางสลับทางลูกรังเป็นช่วงๆ มีทั้งเรียบและขรุขระสลับกันไป ไม่ลำบากและเวียนหัวเท่า รวมถึงจะผ่านหลายหมู่บ้านซึ่งจะมีร้านอาหารอยู่บ้าง แต่ทางผมเตรียมไปกินเองจึงไม่รู้ว่าสภาพเป็นอย่างไรบ้างครับ ซึ่งในช่วงแรกของการเดินทางในวันนี้เราสนุกสนานกับการเปิดกระจกถ่ายรูปวิวระหว่างทางมากๆครับ เส้นทางออกจาก Leh ไปยัง Nubra Valley จะเป็นถนนลาดยางยาวไปจนถึงทางขี้นเขาไปยัง Khadung La Pass ซึ่ง เส้นทางนี้จะวิ่งลัดเลาะภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆทำให้เราจะมองย้อนกลับไปเห็นวิวเมือง Leh จากมุมสูงครับ แต่ในช่วง Khadung La Pass นั้น ค่อนข้างจะกันดารที่สุดในบรรดาเส้นทางทั้งหมด เนื่องจากเป็นถนนขรุขระเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่และหลุม คดเคี้ยวไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา ด้วยความสูงของถนนเส้นนี้ทำให้ทัศนวิสัยค่อนข้างแย่ เต็มไปด้วยเมฆ และหมอก สองข้างทางมีหิมะละลายไหลลงมาเป็นสายน้ำ พื้นบางช่วงจับแข็งเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ และบางช่วงแคบมากจนรถสวนกันไม่ได้ ซึ่งคนขับรถของเราก็ใจดี ชอบขับหลีกทางชาวบ้านเค้าจนบางทีรถเราอยู่ห่างจากขอบเหวเป็นระยะทางแค่ 1 รองเท้าบู๊ทเท่านั้นครับ ในขากลับเราผ่านถนนเส้นนี้อีกครั้ง เจอกลุ่มคนอินเดียขับรถขึ้นมาเอง แล้วขับพลาดล้อไถลลงขอบเหวไป 1 ล้อครับ น่ากลัวมาก แต่คนที่นี่ดีมาก บรรดาคนขับรถเช่าพากันวิ่งร้อยเมตรไปช่วยกันดันรถขึ้นแทบจะทันทีครับ (คนขับรถเราก็ด้วย วิ่งเร็วมาก) เส้นนี้ไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นมานะครับ ต้องใช้ความชำนาญสูงมาก ความน่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของเส้นทางนี้คือหินถล่มครับ เราจะไม่รู้เลยว่ามีโอกาสจะถล่มเมื่อไหร่ ตอนขากลับมีหินถล่มลงมาปิดทางก่อนเราจะมาถึงประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ทำให้เราติดอยู่บนเขาลูกนี้อยู่ชั่วโมงกว่าๆ รอรถตักและรถเจาะหินมาเคลียร์ทาง โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บครับ ● Khadung La Pass ● Khadung La Pass เป็นจุดที่สูงที่สุดในเส้นทางนี้ และที่นี่เคลมว่าเป็นถนนรถวิ่งที่สูงที่สุดในโลก โดยสูงถึง 5,600 m ครับ แต่ข้อมูลในอินเตอร์เนตบอกว่าที่นี่สูงเท่ากับ Chang La Pass ที่ 5,300 m เท่านั้นเอง น่าจะทำเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยยวแหละครับ สภาพเหมือนๆกับ Chang La Pass ในเส้น Pangong Lake จุดนี้คือจุดพักรถที่อยู่ตรงยอดเขาพอดีครับ ถ้าผ่านจุดนี้ได้แปลว่าเราได้ผ่านส่วนที่กันดารที่สุดของเส้นทางนี้ไปแล้วครับ บนนี้อากาศเบาบางทำอะไรต้องระมัดระวังครับ จะเป็นลมเอาง่ายๆ พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างแคบ ร้านขายของเล็กและกันดาร ห้องน้ำก็คงคอนเซปเดิมคือถ้าไม่อายก็ไปกลางแจ้งดีกว่า มีทางให้เดินขึ้นไผปชมวิวด้านบน แต่สูงอยู่ ผมไม่กล้าเสี่ยงขึ้นไปครับ อากาศเย็นมาก มีลูกเห็บตกเป็นระยะๆ แนะนำว่าอย่าอยู่จุดนี้นานครับ นอกจากความดันที่ต่ำมากๆแล้ว จะเป็นหวัดเอาง่ายๆด้วย จุดไฮไลท์บริเวณนี้คือป้ายบอกความสูงครับ มีอยู่ 1 ป้าย กับ 1 หลักกิโล ตอนผมไปนักท่องเที่ยวมายืนอัดกันเพียบบบ เราไม่สู้เค้าเลยถ่ายไกลๆพอ (ได้เพื่อนเพิ่มมา 2 คนเฉยเลย) เมื่อลงจาก Khadung La Pass มาแล้ว อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มจะผ่านภูมิประเทศที่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียว ช่วงนี้เป็นช่วงที่สวยที่สุดในบรรดาเส้นทางทั้งหมดครับ บริเวณนี้จะอุดมสมบูรณ์มากจุดอื่นๆ อาจจะเพราะว่ามีแม่น้ำไหลคู่ขนานไปตลอดเส้นทาง ถ้ามาในช่วงกลางๆค่อนไปจนปลายฤดูใบไม้ผลิ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้สีสันสวยงาม ขนาดตอนที่พวกผมไปยังไม่ Full Bloom เต็มที่ก็เริ่มสวยแล้วครับ ดอกไม้ที่นี่จะเป็นดอกเล็กๆอยู่ติดพื้นหญ้าซะส่วนใหญ่ ทำให้พื้นที่เราเดินนั้นเหมือนปูด้วยพรมสีเขียวแซมด้วยจุดสีเหลืองม่วงสลับกับไปครับ นอกจากนี้ยังบมีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เราจะพบเจอได้ตลอดทาง ทั้งตัว Yak, Marmot, Pashmina และบรรดาปศุสัตว์ทั้งหลาย พวกผมโชคดีมากเจอแร้งเคราตัวใหญ่เกาะอยู่ข้างทาง และถลาบินวนดูรถเราอยู่พักใหญ่ๆเลยครับ โดยที่นี่จะเรียกมันว่า Lammergeier ครับ เป็นหนึ่งในนกประจำถิ่นที่จะอาศัยอยู่ในแทบเทือกเขาสูง พอเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Nubra Valley นั้น ภูมิประเทศจะเริ่มเป็นทะเลทรายครับ โดยเราจะนั่งรถขนานกับแม่น้ำเส้นใหญ่ ในภาพแม่น้ำจะเป็นสีฟ้าสวยเลยครับ แต่ตอนเราไปมีพายุฝนติดต่อกันหลายวันด้านในของ Nubra Valley เปลี่ยนแม่น้ำกลายเป็นสีน้ำตาลเหมือนน้ำป่าไปซะแล้ว เราเลยไม่ค่อยอินกับวิวในช่วงนี้สักเท่าไหร่ แต่ได้ยินมาว่าจุดนี้นั้นแทบจะสวยที่สุดใน Ladakh แล้ว ไว้มีโอกาสจะลองกลับไปอีกสักครั้งนะครับ (แต่ขอพักสักระยะให้ลืมความเมื่อยจากการนั่งรถก่อน) เนื่องจากเราแวะถ่ายรูปตลอดทาง ทำให้กว่าจะถึง Diskit ก็บ่ายแก่ๆแล้ว บวกกับที่ช่วงนี้ องค์ดาไลลามะประทับอยู่ที่ Diskit Monastery ด้วย ทำให้ถนนบริเวณนั้นแน่นขนัดไปด้วยรถทัวน์ของนักท่องเที่ยวครับ เราเลยตกลงกันว่าจะเที่ยวแถวๆนี้ในวันพรุ่งนี้ วันนี้จะตรงไปที่ Sand Dune ในเมือง Hundar ก่อน ซึ่งอยู่เลย Diskit ไปแล้วค่อยตรงไปยังที่พักครับ ● Hundar Sand Dunes ● เป็นที่เที่ยวยอดนิยมของนั่งท่องเที่ยวที่มาที่นี่ครับ มีกิจกรรมให้ขี่อูฐเดินวนรอบทะเลทราย ราคาแบ่งตามระยะเวลาครับ แต่พอเราไปถึงเห็นสภาพน้องอูฐแล้วสงสารจับใจเลยครับ ดูเหนื่อยและผอมมาก เราเลยไปเดินเล่นบนทะเลทรายแทน ที่นี่มีร้านชำเล็กๆ และห้องน้ำนะครับ สภาพห้องน้ำตามคอนเซปเดิมเช่นกัน คือ มีก็เหมือนไม่มีครับ 555 เนื่องจากที่พักเราอยู่คนละฟากแม่น้ำกับ Diskit และ Hundar เราจึงต้องรีบออกเดินทางครับ โดยเผื่อเวลาสำหรับสำรวจรอบๆที่พักด้วย ว่าจะมีพวกร้านอาหารมั้ย หรือว่าต้องเข้าไปหากินข้างในเมือง Sumur ที่อยู่ถัดไป เพราะจาก Google Map ที่พักเรา (์Nubra Eco Loadge) นั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยวนอกเมืองครับ แต่พอไปถึงทางที่พักนั้นมีทั้งข้าวเย็นและข้าวเช้าให้เราครบถ้วนครับ เลยใช้เวลาที่เผื่อไว้เดินเล่นรอบๆที่พักแทน ซึ่งด้านหลังจะสามารถเดินต่อยาวไปได้ถึงริมแม่น้ำเลยครับ และวิวบริเวณนี้ก็สวยงามไม่แพ้แถบ Hundar เลยดีเทียว ขอนำภาพที่ถ่ายช่วงเย็น และช่วงเช้ารอบๆที่พักมาให้ชมนะครับ ผมเดินออกไปประมาณ 2 กิโลได้ครับ เพลินมากจริงๆ ● Diskit Monastery ● เราแวะที่นี่ตอนเช้าก่อนกลับเมือง Leh ครับ ที่นี่เป็น Monastery ที่เก่าแก่ที่สุดในแถบนี้ครับ องค์ดาไลลามะใช้เป็นที่ประทับช่วงมาเยือน Leh โดยด้านบนของ Monastery จะมีพระศรีอริยเมตไตรยองค์ใหญ่ประทับอยู่ครับ :::::::::::: Day 7-8 : Tso Moriri ::::::::::::: เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ยาวและใช้เวลามากที่สุดในทริปเรา แต่ข้อดีของเส้นนี้คือ สภาพภูมิประเทศจะเป็นที่ราบสูงตลอดทาง จะไม่มีวิ่งคดเคี้ยวเลียบเหว ไต่ระดับความสูงแบบเส้นอื่นๆ พื้นถนนก็จะมีทั้งแบบลาดยางสลับไปกับแบบขรุขระ แต่ไม่กันดารเท่าเส้นอื่น แต่ข้อเสียหลักๆของเส้นทางนี้คือ มันร้อนมากกกกกก ความที่วิ่งบนพื้นราบ อากาศจึงไม่เย็นเท่าไหร่ บวกกับภูมิประเทศแถบนี้ไม่ค่อยมีต้นไม้ เราจะวิ่งรับแดดตลอดเวลา รถไม่มีแอร์ ลมที่พัดเข้ามาก็จะเป็นลมร้อน ช่วงเที่ยงๆนี่แดดเผาขารุนแรงมาก คนนั่งริมต้องเตรียมผ้ามาคลุมไว้เลยครับ ในช่วงแรกเราจะวิ่งบนถนนลาดยางเส้นเดียวกับที่ไป Pangong Lake แต่จะแยกไปอีกทางตรงด่านตรวจ Permit เส้นทางในช่วงแรงจะเป็นพื้นดินลูกรัง เรียบบ้าง ขรุขระบ้าง วิ่งเลียบไปตามแม่น้ำ มีหลุมนิดหน่อย คดเคี้ยวพอประมาณ สองข้างทางจะไม่มีวิวสักเท่าไหร่เป็นแนวหน้าผาหิน ช่วงที่เราไปน้ำหลาก น้ำไหลแรงและเป็นสีน้ำตาล ช่วงปกติน่าจะเป็นสีฟ้าสวยอยู่นะครับ บางช่วงเราจะเจอภูมิประเทศหน้าตาประหลาดๆบ้าง เช่น หน้าผาหินสีม่วง ผ่านค่ายทหารเป็นพักๆ มีทะเลสาบให้จอดดูวิวเล่นๆนิดหน่อย ช่วงที่สองของเส้นทางจะเริ่มมีสีเขียวครับ เราจะเข้าสู่พื้นที่ของ Tso Moriri Wetland Conservation Reserve ซึ่งบริเวณนี้เราจะเริ่มเจอบรรดาตัว Marmot อีกครั้งครับ แต่ Marmot แถวนี้จะดูสะอาดสะอาด ตัวผอมเพรียว ขนสวย ไม่เหมือนกับแถว Nubra Valley ที่จะตัวอ้วนๆ และมีขนหลุดเป็นหย่อมๆ ● Tso Kar ● Tso Kar คือทะเลสาบเล็กๆก่อนะจถึง Tso Moriri ครับ ถึงจะไม่ใช่ที่เที่ยวหลัก แต่บรรยากาศรอบๆทะเลสาบก็สวยงามไม่แพ้กันนะครับ และเราจะเริ่มพบเต๊นท์ของ Nomads (ชนเผ่าเร่ร่อน) ประปรายตามทางครับ บริเวณ Tso Moriri นั้นจะอยู่บนที่ราบสูง Changthang Plateau ซึ่งจะกินอาณาเขตยาวไปจนถึงชายแดนธิเบต บริเวณนี้เราจะพบกับ Nomads หลายชนเผ่า ซึ่งจะใช้ชีวิตเดินทางไปเรื่อยๆในที่ราบสูงแห่งนี้ครับ ชนเผ่าเหล่านี้จะเดินทางมาพร้อมกับฝูงแพะ Pashmina และ Yak พร้อมกับสุนัขไว้คอยต้อนฝูงสัตว์ ซึ่งเค้าจะนำขนของ Yak และ Pashmina ไปขายตามหมู่บ้านที่ผ่านไป เพื่อใช้ซื้อของจำเป็นต่างๆครับ บริเวณเมือง Karzok ที่ติดกับทะเลสาบก็จะมีโรงเรียนสำหรับเด็กๆในชนเผ่าอยู่ครับ ตลอดการเดินทางเราจะพบเต๊นท์ผ้าของชาว Nomads เป็นระยะๆ ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกลิ่นแพะลอยมาตามลม มีคนบอกว่าสุนัขต้อนสัตว์นี่จะไม่ทำอะไรคนยกเว้นเราจะไปแตะตัวสัตว์ที่มันต้อนอยู่ครับ ถึงจะบอกว่าเป็นสุนัข แต่ขนาดตัวมันนี่พอๆกับหมาป่าเลย ● Tso Moriri ● Tso Moriri แปลว่า “Mountain Lake” ครับ เป็นทะเลสาบที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขา ที่นี่สูงประมาณ 4,500 m จากระดับน้ำทะเลและได้ชื่อว่าเป็น High Altitude Lake ที่ใหญ่ที่สุดในแถบ Tran-Himalaya ครับ ตัวทะเลสาบนั้นเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งจากเทือกเขาโดยรอบมารวมอยู่ที่ทะเลสาบนี้โดยไม่มีทางออกสู่แม่น้ำใหญ่หรือทะเล น้ำในทะเลสาบนี้จึงมีแร่ธาตุต่ำมาก ทำให้ไม่มีพวกสาหร่ายและตะไคร่น้ำ ทำให้น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การดื่มครับ รวมถึงใต้ทะเลสาบจะมีออกซิเจนอยู่ด้วย ทำให้พวกปลาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย จุดศูนย์กลางของ Tso Moriri จะอยู่บริเวณเมือง Karzok ครับ เป็นเมืองเล็กๆริมฝั่งทะเลสาบที่จะมีที่พักและร้านอาหาร (แต่เล็กมากๆ) ขับเข้าไปในทะเลสาบสักพักนึงก็จะถึง ที่นี่เราสามารถเดินเที่ยวไปตลอดแนวชายฝั่ง และถ้าขับรถเลยเมืองไปก็จะมีเนินเขาที่จะเห็นวิวเมืองจากมุมสูง และยังขับดูวิวต่อไปได้อีกจนสุดขอบเลยครับ โดยส่วนตัวผมชอบที่นี่มากกว่า Pangong Lake สาเหตุหลักๆเลยคือลวดลายของภูเขาที่เป็นฉากหลังของทะเลสาบนี้สวยงามมาก เวลาน้ำนิ่งจะเกิดเงาสะท้อนที่แปลกตา เมื่อมองไปไกลๆจะเห็นเทือกเขาหิมะสลับทับซ้อนกันไปมา รวมทั้งบรรยากาศตรงริมฝั่งทะเลสาบนั้นมีชีวิตชีวามาก ตอนเช้าๆจะเห็นสุนัขต้อนสัตว์วิ่งเล่น ตอนเย็นจะมีฝูงสัตว์เดินผ่านเมือง ในทะเลสาบจะมีนกน้ำบินไปมา บางจุดก็เป็นทุ่งหญ้า บางจุดมีทุกดอกไม้ บางจุมีหนูโผล่มาจากหลุมดูเราถ่ายรูป และแต่ละมุมของทะเลสาบแห่งให้ทัศนียภาพที่แต่งต่างกันไปครับ รูปประกอบจะเยอะหน่อยนะครับ ผมเก็บภาพที่นี่ไว้เยอะมาก :::::::::::: Day 9 : Around Leh ::::::::::::: อันนี